บ้านเรือนไทยหลังใหญ่อายุกว่า 60 ปีถูกย้ายจากอยุธยามาตั้งโดดเด่นท่ามกลางร่มเงาไม้ตรงหัวมุมถนนในซอยสุขุมวิท 53 องค์ประกอบภายนอกคือความสมบูรณ์พร้อมอันงดงามแบบฉบับไทย แต่ใครจะคิดกันว่าที่แห่งนี้คือ Gaa ร้านอาหารไฟน์ไดนิ่งสไตล์ Modern Indian Cuisine ที่หลายคนรู้จักเป็นอย่างดี ซึ่งเปิดตัวครั้งแรกเมื่อปี 2017 บริเวณซอยหลังสวน ให้ได้ลิ้มรสอาหารอินเดียร่วมสมัยจากฝีมือ ‘Garima Arora’ เชฟชาวอินเดียคนแรกที่คว้าดาวมิชลินมาครอง
ครั้งนี้ Gaa ย้ายบ้านใหม่สู่บรรยากาศเรือนไทยที่ให้ความรู้สึกอบอุ่นแต่แรกเห็น ซึ่งยังคงปรัชญาแห่งการทำอาหารอย่างการหยิบวัตถุดิบท้องถิ่นไทยมาผสมผสานกับเทคนิคปรุงอาหารอินเดียแบบดั้งเดิม สู่อาหารอินเดียร่วมสมัยซึ่งอบอวลไปด้วยความแปลกใหม่ของวัตถุดิบที่คุณอาจรู้ดีว่าคืออะไร แต่รับประกันว่าไม่เคยสัมผัสรสชาตินี้ที่ไหน หากไม่มาเยือน Gaa
01 She is Garima Arora
ยามบ่ายที่แสงแดดกำลังอ่อนตัวลง เรามีนัดที่ Gaa กับเชฟ ‘Garima Arora’ ผู้รังสรรค์อาหาร และ ‘Luke Yeung’ สถาปนิกจากทีม ArchitectKidd ผู้รีโนเวตเรือนไทยอายุกว่า 6 ทศวรรษ เมื่อเปิดประตูก้าวเข้าสู่เรือนไทย ตามด้วยเดินขึ้นบันไดวนไปยังชั้น 2 ทันทีที่เท้ายกขึ้นจากขั้นสุดท้ายเพื่อเหยียบพื้นไม้ ต้องยอมรับว่าภาพการตกแต่งภายในที่สองตาได้เห็น ทำเอาหัวใจคนชอบงานสถาปัตยกรรมอย่างเราเต้นเร็วขึ้นมาอย่างไม่รู้ตัว
ทำไมถึงเลือกเปิดร้านอาหารอินเดียท่ามกลางบ้านเรือนไทย คือคำถามแรกที่เราเอ่ยกับ Garima เมื่อนั่งพูดคุยกัน เธอตอบกลับพร้อมรอยยิ้มเล็กๆ ว่า ร้านนี้ถูกสร้างขึ้นด้วยความตั้งใจที่อยากจะเชื่อมความเป็นไทยกับอินเดียเข้าด้วยกัน ทั้งในแง่วัฒนธรรม ความเชื่อ ภาษา และ อาหาร ซึ่งเป็นสิ่งที่เธอถนัด ทุกเมนูที่คิดค้นจึงเกิดจากการนำเทคนิคการปรุงอาหารแบบดั้งเดิมของอินเดีย มาใช้กับวัตถุดิบทั่วไทยที่เธอเดินทางตามหาสิ่งใหม่ตามภาคต่างๆ อยู่เสมอ เพื่อรังสรรค์รสชาติแปลกใหม่อย่างไม่เคยได้ลิ้มลองที่ไหน เช่นเดียวกับบ้านเรือนไทย เธอมองว่าภายนอกดูมีเอกลักษณ์แห่งความดั้งเดิม แต่เมื่อได้เข้ามาด้านใน ใครจะคิดว่านี่คือร้านอาหารอินเดีย
เธอยังตั้งใจให้ Gaa ลบภาพจำเดิมของคนไทยว่า อาหารอินเดียมีแต่แกง ติดมัน ด้วยการสะท้อนธรรมชาติ และความสวยงามของอาหารอินเดียจริงๆ ในแบบที่คนอินเดียทำกินที่บ้าน เพื่อส่งต่อรสชาติอาหารอินเดียในมุมมองใหม่ให้คนไทยรับรู้
02 Indian Among Baan Ruen Thai
เมื่อพูดถึงเรือนไทย เราอดไม่ได้ที่จะเงยหน้ามองจั่วตรงกลางที่มีเส้นลวดขึงในแนวดิ่ง สถาปนิกอย่าง Luke จึงเพิ่มความน่าตื่นเต้นให้อีกเท่าตัวด้วยประโยคที่ว่า “เส้นลวดที่จั่วนี้ได้แรงบันดาลใจมาจากสายสิญจน์” ก่อนเริ่มเล่าถึงการเนรมิตเรือนไทยหลังนี้ให้ฟังว่า หัวใจสำคัญคือการคงโครงสร้างของเรือนไทยที่เคลื่อนย้ายจากอยุธยามาขึ้นโครงใหม่ที่กรุงเทพฯ ไว้ให้ได้มากที่สุด ตามด้วยการปรับเปลี่ยนภายในอย่างไม่ลดทอนรากเหง้า เพื่อเคารพความประณีต ความดั้งเดิม และวัสดุชิ้นต่างๆ ที่ประกอบสร้างเป็นบ้านเรือนไทย
ก่อนปรับให้ร่วมสมัยด้วยการใช้โทนสี Taupe เพิ่มความรู้สึกใหม่ที่ยังคงความเป็นธรรมชาติ ทั้งยังช่วยขับให้องค์ประกอบอื่นๆ ให้โดดเด่น ตั้งแต่ภาชนะใส่อาหาร ผ้าเช็ดปาก ไปจนถึงสีสันของเฟอร์นิเจอร์ เพื่อสะกดผู้มาเยือนให้เพ่งความสนใจไปยังอาหารตรงหน้า
“ในฐานะสถาปนิก ผมคิดว่าเรือนไทยคือสิ่งที่ยูนีกและมีเสน่ห์มากๆ ยิ่งเมื่อตั้งอยู่ในเมืองใหญ่ที่เต็มไปด้วยตึกสูง และความศิวิไลซ์ ยิ่งเป็นการผสมผสานสิ่งที่ดั้งเดิมสุดๆ เข้ากับความใหม่สุดๆ ได้อย่างน่าสนใจครับ”
03 Streets of India
พูดคุยกันเพียงไม่นาน เมนูอาหารในคอร์ส ‘Streets of India’ ก็ทยอยออกเสิร์ฟมาให้ลิ้มรส จานแรกเป็น Guava Leather, Masala, Yogurt, Sev – ได้แรงบันดาลใจจาก Chaat เมนูสตรีทฟู้ดของอินเดีย ให้รสชาติและสัมผัสสดชื่น ครบทั้งเปรี้ยว หวาน มัน เค็ม อุ่น เย็น กรอบ ซึ่งเป็นจานที่ถ่ายทอดจิตวิญญาณของสตรีทฟู้ดอินเดียได้อย่างดี และเรียกน้ำย่อยคนทานได้ดีเยี่ยมเช่นกัน
ถัดมาคือ Crab and Macadamia Milk – ซิกเนเจอร์ที่บ่งบอกตัวตนร้านได้ดีที่สุด ด้วยการเล่นกับการผสมผสานรสชาติ นำปูและกุ้ง Crayfish มาเสิร์ฟคู่กับน้ำนมถั่วแมคาเดเมียอุ่นซึ่งปรุงรสด้วยน้ำมันใบกะหรี่ น้ำมันหัวกุ้ง และน้ำมันพริกไทยอ่อน
ระหว่างทาน เราโยกตัวเล็กน้อยไปกับเสียงเพลงที่เปิดคลอในร้าน ซึ่งรู้มาว่ามีความพิเศษไม่แพ้อาหารตรงหน้า เพราะทุกเพลงถูกเลือกมาอย่างใส่ใจโดย ‘Sunju Hargun’ โปรดิวเซอร์เพลงชาวอินเดียผู้คัดสรรเพลงตามเมนูอาหาร โดยไม่บ่งบอกชัดเจนว่าคือเพลงสัญชาติอะไร แต่ฟังแล้วยังรู้สึกถึงกลิ่นอายบางอย่างของแต่ละประเทศ ไม่เพียงเท่านั้น เพลย์ลิสต์ของร้านยังเปลี่ยนใหม่เสมอถ้าเปลี่ยนฤดูกาลและเมนูอาหาร
เมื่อลิ้นได้สัมผัสรส ปล่อยใจให้ดื่มด่ำไปกับเพลงที่เปิด เราอดไม่ได้ที่จะมองไปยังเส้นลวดด้านบนเพดานที่เพิ่มระยะให้สูงสองเท่าอีกครั้ง สำหรับเปลือยให้เห็นความโค้งเว้าของไม้ และมีพื้นที่เล่นกับเส้นลวดซึ่งได้แนวคิดจากสายสิญจน์ที่ทอดตัวพาดทับกันไปมา เพื่อเป็นตัวแทนของจิตวิญญาณความเป็นไทย
และหากสังเกตให้ดีจะมองเห็นเสาแดงลงรักทอง 2 ต้นตั้งอยู่ตรงข้ามกัน ซึ่ง Garima ตั้งใจคงไว้ให้เป็นสัญลักษณ์แห่งประวัติศาสตร์ของบ้านหลังนี้ เพื่อรักษาความทรงจำให้กรุ่นอยู่ในเรือนไทยเสมอ
เพลิดเพลินกับบ้านเรือนไทยได้ไม่นาน จานถัดมาที่วางบนโต๊ะก็ทำเราหลุดร้องว้าวออกมาทันที เพราะเจอทุเรียนหมอนทองในอาหารอินเดียกับเมนู Bread from the Tandoor, Durian Marrow – ขนมปังสไตล์อินเดียเผาในเตา Tandoor เสิร์ฟคู่กับดิปปิ้งทุเรียนหมอนทองที่ถูกเผาให้ครีมมี่เพื่อรสสัมผัสคล้าย Bone Marrow จากนั้นราดด้วยซอสแกง Kadhi ซึ่งทำจากโยเกิร์ตและแป้งถั่วลูกไก่ ปิดด้วยโรยก้านผักชีซอย
จบของคาวต่อด้วยของหวานกับ Assam Tea Granita, Fruits, Tapioca – นำเสนอการทานชาอินเดียในรูปแบบไอศกรีม เสิร์ฟคู่กับสาคูและราสป์เบอร์รี ราดด้วยซอสคาราเมลที่ทำจากน้ำเวย์ซึ่งหลงเหลือจากการทำชีส
4 จานที่เราหยิบยกมาเล่าเป็นเพียงส่วนหนึ่งของคอร์ส ‘Streets of India’ เท่านั้น เพราะความจริงยังมีอีกหลากหลายเมนูที่ได้ชิมแล้วเปิดประสบการณ์การกินอาหารอินเดียในรสชาติใหม่ให้เรามากทีเดียว
หลังทานอาหารเสร็จ Luke เสริมว่า นอกจากอาหารอินเดียร่วมสมัยของ Gaa จะอร่อยมากๆ แล้ว ยังเป็นอีกแรงบันดาลใจในการออกแบบภายในให้เขา เพราะอาหารหนึ่งจานไม่ได้บอกถึงแค่การทำอาหารเท่านั้น แต่ยังสะท้อนถึงการสร้างสรรค์สิ่งใหม่ที่ชวนให้ตื่นเต้นในรสชาติและการนำเสนอผ่านวัตถุดิบ คล้ายกับการรีโนเวตบ้านเรือนไทยครั้งนี้ ที่อาจทำให้ผู้มาเยือนใคร่รู้ว่า เรือนไทยหลังนี้เป็นพื้นที่สำหรับอะไร
04 HERE at Gaa
ด้านล่างของเรือนไทยหลังนี้ยังถูกสร้างให้เป็นสเปซของ HERE ร้านอาหารอินเดียร่วมสมัยที่เชฟ Garima ตั้งใจเสิร์ฟอาหารประจำบ้านของชาวอินเดียที่ทานกันทุกวันให้คนไทยได้สัมผัส
แน่นอนว่าสำหรับการรีโนเวตภายใน ยังคงเป็นฝีมือของทีม ArchitectKidd ที่ได้ไอเดียมาจากแคนทีนอาหารอินเดียที่เชฟ Garima เคยนั่งทาน รวมถึงประสบการณ์การกินอาหารสตรีทฟู้ดของเชฟที่ทำให้การดีไซน์มีความสนุกสนานเต็มไปด้วยสีสัน เฟอร์นิเจอร์คละสไตล์ต่างกัน เพื่อเปิดต้อนรับให้ทุกคนมานั่งเอกเขนกสบายๆ จะแวะมาจิบกาแฟสักแก้ว พร้อมทานมื้อเช้าหลังวิ่งออกกำลังกาย เอนจอยกับเพื่อนด้วยมื้ออาหารกลางวัน หรือจะชิลไปกับบรรยากาศยามค่ำกับครอบครัวก็มีพร้อม
05 Homely Dish but New Flavors
หากใครมาฝากท้องยามเช้าที่ HERE เราไม่อยากให้พลาดลอง Black Rice Dosa, Homemade Butter, Gunpowder & Ghee, Coconut & Jaggery – สัมผัสเมนูอาหารเช้าอินเดียทางตอนใต้อย่างโดซา ที่เชฟใช้ข้าวดำไทยหมักทำเป็นแป้ง เสิร์ฟคู่กับเนยโฮมเมดสูตรเฉพาะของร้าน ผงพริกคั่ว เนยใส และมะพร้าวผัดกับน้ำตาลโตนด
ตามด้วย Oats Chilla, Peanut Chutney, Fresh Salad – แพนเค้กถั่วลูกไก่ผสมข้าวโอ๊ต เสิร์ฟคู่กับซอสถั่วลิสงและสลัดผัก ซึ่งเป็นสูตรเฉพาะของคุณพ่อของเชฟ
ก่อนปิดท้ายมื้อเช้าด้วย Mango Ma Kwaen Pepper Shrikand with Besan Puris – แป้งถั่วลูกไก่ทอดเสิร์ฟคู่กับโยเกิร์ตดิปที่เบลนด์รสชาติจาก 3 วัตถุดิบไทยอย่างมะม่วง มะนาวดอง และมะแขว่น
แอบกระซิบว่าถ้าจิบชาอินเดียของทางร้านคู่กับทุกเมนูไปด้วย จะทำให้มื้อเช้าของคุณเพอร์เฟกต์ พร้อมเริ่มต้นวันเลยทีเดียว
ช่วงเวลาที่เรามาคุยกับเชฟ Garima และ Luke คือตอนบ่ายแก่พอดี เชฟจึงแนะนำเซตเมนูอาหาร Lunch & Dinner ให้ลองชิม
จานแรกคือ Betel Leaf Chaat – ใบชะพลูทอดราดซอสโยเกิร์ต ซอสมะขาม ซอสผักชีมินต์ โรยหน้าด้วยเม็ดทับทิม ตามด้วย Pickled Chicken Tandoori with Almighty Salad – ไก่หมักมะม่วงดองเผาในเตา Tandoor เคียงด้วยสลัดผักกาดแก้วกรอบ
จานถัดมาเป็นถาด เพราะนี่คือพิซซ่าสไตล์อินเดียที่เราเพิ่งมีโอกาสได้ชิมเป็นครั้งแรก Candied Ginger Naan, Sour Cream, Lime Zest – พิซซ่าแป้งนาน ท็อปด้วยขิงเชื่อม ซาวร์ครีมโฮมเมด และมะนาว ทานคู่กับ Crispy Squid Koliwada with Chinese Celery Mayo – ปลาหมึกทอดจิ้มซอสมายองเนสรสขึ้นฉ่ายยิ่งเคี้ยวเพลิน
ก่อนปิดท้ายด้วย Lamb Keema Sub – แซนด์วิชมีตบอลเนื้อแกะท็อปด้วยมันฝรั่งทอด ซึ่งเป็นจานที่ถูกดัดแปลงมาจาก Comfort Food ของอินเดีย
06 This is Who I Am
หลังลิ้มรสอาหารอินเดียร่วมสมัยฝีมือเชฟ Garima Arora ที่เกิดจากการผสมผสานเทคนิคการปรุงอาหารฉบับอินเดียดั้งเดิมกับวัตถุดิบทั่วไทยท่ามกลางบ้านเรือนไทยอายุกว่า 60 ปีเสร็จ ก่อนกลับเราถามเชฟว่า Gaa และ HERE มีความหมายสำหรับเธออย่างไร เชฟยิ้มเล็กน้อยแล้วตอบทันทีว่า
“มันไม่ใช่เรื่องดีที่จะทำให้งานกลายเป็นตัวตนของคุณ แต่สำหรับฉัน Gaa และ HERE คือข้อยกเว้น สองร้านนี้คือสิ่งที่บอกตัวตนของฉัน ฉันถ่ายทอดทุกความตั้งใจลงไป ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการสร้างภาพจำอาหารอินเดียใหม่ และการออกไปค้นหาวัตถุดิบไทยเพื่อสร้างรสชาติใหม่เสมอ”
เราก้าวเข้ามาในบ้านเรือนไทยด้วยความรู้สึกแปลกใหม่กับบรรยากาศและรสชาติอาหาร
เรากลับออกจากบ้านเรือนไทยด้วยความรู้สึกอิ่มท้องและอิ่มใจกับบรรยากาศและรสชาติอาหาร
เราจึงอยากชักชวนให้คุณมาสัมผัสประสบการณ์การทานอาหารอินเดียร่วมสมัยที่ Gaa และ HERE ฝีมือเชฟ Garima Arora ท่ามกลางบ้านเรือนไทย เพื่อเปิดรับรสชาติใหม่ของอาหารอินเดีย และเติมเต็มความสุขครั้งใหม่ให้ชีวิต
Gaa & HERE
Where : 46/1 ซอยสุขุมวิท 53 เขตวัฒนา กรุงเทพมหานคร
Time : Gaa | ทุกวัน เวลา 12.00 – 21.00 น. (เปิดจองคอร์สตั้งแต่ 10.00 – 18.00 น.) | โทร. 063-987-4747
HERE | ทุกวัน เวลา 7.30 – 23.00 น. |โทร. 097-140-5647
https://www.gaabkk.com/