เราต่างรู้ว่าบนโลกใบนี้มีสีนับล้านสี และการมองเห็นสีก็ล้วนมีความสำคัญกับมนุษย์ในหลายๆ มิติ ตั้งแต่พัฒนาการการเรียนรู้ของเด็กผ่านสีสันรอบตัว การแยกแยะอาหารสุก ไม่สุก หรือมีพิษด้วยสีสัน การเดินทางในชีวิตประจำวัน รวมไปถึงการทำงานที่ทั้งหมดล้วนเกี่ยวพันกับสีสันทั้งสิ้น
มีงานวิจัยกล่าวว่า เมื่อเราเดินผ่านคนจำนวน 100 คน จะมีถึง 16 คน ที่มีความบกพร่องทางด้านการมองเห็นสีแตกต่างจากคนทั่วไป หรือเป็นอาการ Color Vision Deficiency (CVD) ซึ่งเรียกสั้นๆ ว่าอาการพร่องสี แต่ไม่ว่าคุณจะเป็นคนช่างสังเกตสักแค่ไหน ก็ไม่มีทางรู้เลยว่ามีใครบ้างที่ผิดปกติ เพราะอาการดังกล่าวไม่สามารถระบุได้จากรูปลักษณ์ภายนอกได้เลยว่ามีความผิดปกติหรือไม่
รวมถึงชายหนุ่มร่างเล็กสวมเสื้อสีแดงสด เจ้าของเพจ Rights for Color Blind People – กลุ่มเพื่อสิทธิคนตาบอดสี ชายที่เราอยากคุยกับเขาในฐานะ คนตาพร่องสีผู้ขับเคลื่อนเรียกร้องสิทธิให้คนตาพร่องสีทั่วประเทศไทยมีชีวิตที่ดีขึ้น เท่าเทียมกับคนทั่วไปมากว่า 10 ปี
“ตอนเด็กๆ ผมได้แต่ฟังคนอื่นบอกว่าเราเป็นคนตาพร่องสีแต่เราก็ไม่ได้สนใจอะไร เราไม่รู้จักด้วยซ้ำว่าอาการนี้คืออะไร เราก็ใช้ชีวิตอยู่กับมัน ในความคิดของเราสีทุกอย่างก็เป็นปกติ ผมมารู้ว่าตัวเองมีอาการตาพร่องสีตอนที่ไปสอบตำรวจ ในตอนนั้นผมสอบผ่านข้อเขียนด้วยความยากลำบาก แต่ก็ต้องมาสอบตกด้วยเหตุผลเพราะผมไม่สามารถแยกตัวเลขบนแผ่นทดสอบชุดนี้ที่ให้คุณทำได้”
นอกจากความสับสนที่เกิดขึ้น กรที่พึ่งรู้ว่าตัวเองตาบอดสีในวัย 35 ปี ทำให้กรตระหนักได้ว่าคงมีคนอีกไม่น้อยที่ประสบปัญหาเหมือนกับเขา ที่ไม่สามารถทำตามความฝันเพียงเพราะมองเห็นสีไม่เหมือนคนปกติทั่วไป และขาดโอกาสบางอย่างไป วันนั้นเองกรจึงตัดสินใจสร้าง ‘Rights for Color Blind People – กลุ่มเพื่อสิทธิคนตาบอดสี’ ขึ้นมาเพื่อผลักดันเรื่องสิทธิของคนตาพร่องสี
“พอออกมาพูดเรื่องนี้ก็พบว่ามีคนหลายคนเข้ามาแชร์ประสบการณ์ เล่าให้เราฟังว่าเคยโดนล้อตอนเด็กๆ พอคนอื่นรู้ว่าเรามองเห็นสีไม่เหมือนคนปกติ บางครั้งกลายเป็นเรื่องขำขัน เราเลยอยากปรับความเข้าใจนี้ใหม่”
ตาพร่องสี ≠ มองไม่เห็นสี
เพื่อก้าวสู่โลกของคนตาพร่องสี กรเริ่มต้นด้วยการให้เราทำแผ่นทดสอบตาพร่องสี Ishihara กว่า 38 แผ่น ซึ่งมีลักษณะเป็นจุดสีที่ภายในมีตัวเลขหรือเส้นต่างๆ ซ่อนอยู่ เพื่อใช้ระบุว่าเรามีอาการผิดปกติหรือไม่ ยอมรับเลยว่า แม้เราจะทำได้หมดทุกแผ่นแต่ก็ใช้เวลาในการเพ่งสายตา และหลายข้อก็ทำให้เราสับสนไม่น้อย
“ผมตาพร่องสีแดง ถ้าผมไม่บอกคุณคิดว่าจะรู้ไหมว่าผมตาพร่องสี”
ประโยคที่ทำให้เราตกใจอยู่ครู่หนึ่งจากความขัดแย้งกันระหว่างเสื้อสีแดงสดที่เขาสวมมาในวันนั้น เป็นสีเดียวกับที่เขาพร่อง พร้อมทั้งอธิบายประสบการณ์ในฐานะคนตาพร่องสีให้เราฟังต่อว่า
“คนทั่วไปในสังคมยังไม่ได้ข้อมูลที่ถูกต้องเกี่ยวกับอาการตาพร่องสี หลายคนยังคงเรียกเราว่าคนตาบอดสีจากศัพท์ภาษาอังกฤษ Colour Blindness ซึ่งจริงๆ แล้วมันไม่ใช่ทั้งหมด หากใช้นิยามดังกล่าวคนที่มีอาการจะไม่สามารถมองเห็นสีรอบตัวได้เลย”
ด้วยเหตุนี้เองจึงมีการรณรงค์ให้เลิกใช้คำว่าตาบอดสี และให้มาใช้คำว่า ผู้ที่มีความพร่องในการมองเห็นสี หรือ CVD เพื่อลบภาพจำที่ไม่ดีต่อคนที่มีอาการดังกล่าว และสร้างความเข้าใจใหม่ๆ ให้สังคมยอมรับและเข้าใจมากขึ้น
เพียงเพราะพร่องสีจึงถูกกีดกัน
ถึงแม้ว่าอาการตาพร่องสีจะสามารถใช้ชีวิตได้อย่างปกติ ไม่ต่างอะไรจากคนธรรมดาทั่วไป แต่เรื่องเล็กๆ ดังกล่าวก็กลายมาเป็นข้อจำกัดในบางโอกาสที่เขาสูญเสียไป เหตุเพราะเขาไม่สามารถมองเห็นสีได้อย่างถูกต้อง โดยกรได้รวบรวมข้อมูลงานศึกษาเรื่องคนตาพร่องสีโดนจำกัดสิทธิอะไรบ้าง ซึ่งสรุปออกมาได้สามเรื่องที่ Rights for Color Blind People – กลุ่มเพื่อสิทธิคนตาบอดสี พยายามผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลง
“สิ่งที่เป็นปัญหาที่สุดของการตาพร่องสีที่มีคนร้องเรียนมาหาเรามากที่สุด คือเรื่องการไปสอบใบขับขี่ ขนส่งมีกฎระเบียบที่เข้มงวดกับการสอบใบขับขี่ เพราะมีผลต่ออุบัติเหตุบนท้องถนน ถึงแม้ว่าคนตาพร่องสีจะสามารถแยกสีของสัญญาณไฟจราจรและขับรถได้อย่างปกติ ทว่ากลับสอบไม่ผ่านเพราะไม่สามารถทำแบบทดสอบตาพร่องสีได้
“เรื่องที่สองการศึกษา มีบางสาขาวิชาที่มีเกณฑ์ในการคัดเลือกในการตรวจสอบการพร่องสีของสายตา ทำให้เขาไม่สามารถที่จะเลือกเรียนคณะในฝันที่ตัวเองอยากเรียนได้ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าเศร้า และพอเรียนจบเขาก็ต้องถูกกีดกันจากการทำงาน จากบริษัทที่ใช้เกณฑ์ตาพร่องสีในการเลือกรับคนเข้าทำงาน
“คนในสังคมไม่เข้าใจว่าจริงๆ แล้วคนตาพร่องสีก็ทำอะไรได้เหมือนคนปกติ”
ซึ่งในปัจจุบันเรื่องการมองเห็นสีของคนตาพร่องสีเป็นประเด็นที่ถูกพูดถึงไม่น้อย มีหลายหน่วยงานพยายามผลักดันเพื่อสร้างความเปลี่ยนแปลงในเรื่องนี้ มีการออกแบบคิดค้นนวัตกรรมมากมายที่เข้ามาช่วยทำให้ชีวิตเขาดีขึ้น ไม่ว่าจะเป็นคอนแท็กต์เลนส์ หรือแว่นตาสำหรับคนตาพร่องสี เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของคนในทุกรูปแบบ เช่นเดียวกับ OPPO ที่พยายามขับเคลื่อนสร้างความเปลี่ยนแปลงทางด้านเทคโนโลยีเพื่อสร้างความเท่าเทียม ให้ผู้ที่มีความพร่องสี สามารถมองเห็นและจำแนกสีสันต่างๆ ได้ดีขึ้นในชีวิตประจำวัน
สีสำหรับทุกคน
เป้าหมายอันแรงกล้าของกรในการผลักดันเรื่องนี้ คือความต้องการเป็นกระบอกเสียงเพื่อกล่าวถึงปัญหาของคนตาพร่องสีในประเทศไทย สร้าง Community เพื่อรับฟังปัญหาของเพื่อนตาพร่องสีคนอื่น และนำกลับมาให้ความรู้และสร้างความเข้าใจกับคนทั่วไป และอยากผลักดันเรื่องสิทธิความเท่าเทียมของคนตาพร่องสีในประเทศไทยมากขึ้น อาทิ ผลักดันการเปลี่ยนไฟจราจรให้คนตาพร่องสีสามารถใช้งานได้ ไปจนถึงการรวบรวมรายชื่อเพื่อแก้ไขกฎหมายเพื่อขอมีใบขออนุญาตขับขี่ และให้เอื้อต่อผู้มีอาการพร่องสี ที่ลงมือทำมาตลอดระยะเวลากว่า 10 ปี นับตั้งแต่ก่อตั้งเพจในวันแรก
เพราะเรื่องสีเป็นเรื่องของทุกคน ปัจจุบันเมื่อโลกแห่งเทคโนโลยีพัฒนาอย่างก้าวกระโดดโลกก็เริ่มมีสีสันขึ้น OPPO คือแบรนด์ที่เล็งเห็นปัญหาเดียวกับกร และพยายามสร้างความเปลี่ยนแปลงเช่นกัน โดยใช้แนวคิด Technology for mankind, Kindness for the world ในการมุ่งมั่นที่จะสร้างเทคโนโลยีสำหรับทุกคน รวมถึงผู้ที่มีความพร่องในการมองเห็นสีให้กลับมามองเห็นสีสันที่สดใสอีกครั้ง
OPPO ได้ร่วมมือกับศาสตราจารย์ Yaguchi ผู้เชี่ยวชาญทางวิทยาศาสตร์ในสาขาสี และศาสตราจารย์ Luo Ming จากมหาวิทยาลัย Zhejiang เพื่อให้ผู้คนตาพร่องสีได้กลับมามองเห็น และแยกสีสันของโลกใบนี้ได้ผ่าน OPPO Find X3 Pro 5G ที่ใช้อัลกอริทึมปรับสีให้เข้ากับสายตาผู้ใช้งาน เพื่อให้ตรงกับผู้ที่เป็นโรค CVD โดยใช้วิธีการตรวจหาการมองเห็นสีที่ผิดพลาดจากทางการแพทย์ เพื่อวินิจฉัยอาการผิดปกติทางสี ภายใต้ชื่อว่า Color Correction Solution Version 2.0 ซึ่งจะช่วยให้ทุกคนสามารถทดสอบการมองเห็นสี ด้วยตัวเอง มีหลักการทำงานคือให้ผู้ใช้งานเรียงสีที่มีความใกล้เคียงกันมากที่สุด เมื่อทำแบบทดสอบเสร็จ ระบบจะทำการปรับสีของหน้าจอให้เข้ากับสายตาของแต่ละคนโดยอัตโนมัติ
เราจึงให้กรร่วมทำแบบทดสอบครั้งนี้ด้วยเช่นกัน และผลจากการทดสอบออกมาว่าเขามีความพร่องสี เฉกเช่นเดียวกับการทำแบบทดสอบ Ishihara แต่ในครั้งนี้มีสิ่งที่ต่างไปจากการทดสอบครั้งไหนๆ เพราะอัลกอริทึมของ OPPO Find X3 Pro 5G ได้ทำการปรับเปลี่ยนสีของหน้าจอโทรศัพท์ ให้เหมาะสมกับสายตาของกรโดยเฉพาะ เพื่อดึงเฉดสีบนโลกใบนี้กลับคืนมาอีกครั้ง ให้เขาสามารถเห็นเฉดสีและแยกสีต่างๆ บนสมาร์ตโฟนเครื่องนี้ได้ดียิ่งขึ้น
โลกพันล้านสี
อย่างที่บอกว่า OPPO Find X3 Pro 5G สามารถปรับสีของหน้าจอแสดงผลให้เหมาะสมกับอาการตาพร่องสีของแต่ละคน และสำคัญไปกว่านั้น OPPO Find X3 Pro 5G กลับสร้างมาตรฐานใหม่ด้านเทคโนโลยีการแสดงผล ที่รองรับขอบเขตสีได้กว้าง (100 เปอร์เซ็นต์ DCI-P3) และความลึกของสี 10-bit ทำให้ จอแสดงผลสามารถสร้างสีสันที่น่าทึ่งได้กว่า 1 พันล้านสี จนกลายเป็นผู้นำอุตสาหกรรมด้านประสิทธิภาพของสีที่ให้ความแม่นยำสูงที่สุด
ด้วยการผสมผสานเทคโนโลยีต่างๆ เข้าด้วยกัน สมาร์ตโฟนเครื่องนี้ จึงได้เข้ามามอบประสบการณ์ใหม่ๆ ในการมองเห็นบนจอสมาร์ตโฟน ทำให้ผู้ใช้งานสามารถแยกแยะสีในชีวิตประจำวันได้ดีขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการถ่ายภาพ ดูรูปภาพ ซึ่งมีประโยชน์อย่างมากเพราะสามารถช่วยคนที่ตาพร่องสี แยกแยะเนื้อที่สุกหรือดิบได้ดีขึ้น ช่วยในการดูความสดของปลาก่อนเลือกซื้อ หรือช่วยดูความสดของผลไม้ที่เคยสีจืดชืด ให้กลับมามีเฉดสี ให้ผู้ใช้งานได้แยกแยะเฉดสีได้ดีขึ้นใกล้เคียงกับสีที่ปรากฏมากที่สุด และสมาร์ตโฟนเครื่องนี้ก็ได้ค่อยๆ กลายมาเป็นผู้ช่วยในการมองเห็นที่จะเข้ามาเติมเต็มสีสันในชีวิต ให้ทุกคนได้พบกับโลกพันล้านสี สนุกกับการถ่ายภาพ เปลี่ยนโลกที่คุ้นเคยให้กลายเป็นโลกใหม่ที่สดใสมากขึ้น
นอกจากเทคโนโลยีที่คิดค้นมาเพื่อคนตาพร่องสีแล้ว ฟังก์ชันอื่นก็โดดเด่นไม่แพ้กัน สมาร์ตโฟนเครื่องนี้ทำให้คุณสนุกกับการเปลี่ยนมุมมองของภาพเพียงปลายนิ้ว โดยที่ไม่จำเป็นต้องพกกล้องใหญ่ และเลนส์กล้องเพื่อเปลี่ยนมุมมองให้วุ่นวาย เพราะมาพร้อมกล้อง Wide-angle และกล้อง Ultra-wide-angle ที่มีเซนเซอร์ IMX766 ความละเอียด 50MP ผ่านการออกแบบร่วมกันกับ Sony เพื่อให้สามารถจับภาพสีสันได้กว่าพันล้านสี ทำให้ภาพที่ปรากฏบนหน้าจอแสดงผลสมจริงเหมือนที่ตาเราเห็น และทำให้การถ่ายภาพสนุกและง่ายกว่าครั้งไหน
สนุกและเพลิดเพลินกิจกรรมเพื่อความบันเทิงได้มากกว่าเดิมบนหน้าจอ QHD+ ขนาด 6.7 นิ้ว และอัตราส่วนคอนทราสต์สีสูง ทำให้มีสีดำที่มีความล้ำลึก รายละเอียดสมจริง พร้อมเสียงที่มีมิติจาก ลำโพงสเตอริโอคู่ ทำให้ได้ประสบการณ์เสียงที่ยอดเยี่ยม ให้เสียงเบสที่หนักแน่น เสียงแหลมที่ชัดเจน เปรียบดั่งโรงภาพยนตร์เคลื่อนที่บนมือของพวกเราทุกคน
นี่เป็นเพียงหนึ่งวันที่เราได้ลองเข้าไปอยู่ในโลกของคนตาพร่องสี ซึ่งเป็นโลกทุกวันที่พวกเขาตื่นมาเจอ สำหรับคนตาพร่องสีแล้ว การได้กลับมามองเห็นสีที่เคยขาดหายไป มีความหมายมากกว่าแค่การมองเห็นสีในชีวิต เพราะเทคโนโลยีล้ำสมัยจาก OPPO สร้างความเปลี่ยนแปลงพัฒนาคุณภาพชีวิตให้ทุกคนได้มองเห็นสีสันบนโลกใบนี้ได้ดียิ่งขึ้น ผ่านหน้าจอสมาร์ตโฟนที่เต็มเปี่ยมไปด้วยประสิทธิภาพ จนทำให้การมองเห็นสีที่แตกต่างวันนี้ เปรียบเสมือนการได้เข้าสู่โลกใบใหม่ที่สดใสและมีชีวิตชีวากว่าที่เคย