เมืองเล็กๆ ที่บางครั้งอาจเผลอมองข้ามไปก็มีดีไม่แพ้เมืองใหญ่เหมือนกันนะ ไม่ว่าจะเป็นเมืองในฝันของเกษตรกร หรือเมืองศูนย์รวมแรงบันดาลใจของเหล่าศิลปิน ไปจนถึงเมืองที่คิดถึงเรื่องความเท่าเทียมของผู้คนเป็นสำคัญ
เราจึงขอพาสำรวจเมืองเล็กที่น่าอยู่ที่สุดประจำปี 2020 จัดโดยนิตยสาร Monocle เมืองเหล่านั้นจะน่าอยู่แค่ไหน มีดีอย่างไรถึงได้ตำแหน่งมาครอบครอง และทำให้รู้ว่าในอีกมุมของโลกก็ยังมีเรื่องราวของผู้คน และวัฒนธรรม ให้ค้นหาอย่างไม่รู้จบ
อันดับที่ 6 | Bolzano, Italy – เมืองแห่งการใช้พลังงานสะอาด
เริ่มออกเดินทางกันที่แรก ณ เมืองโบลซาโน ประเทศอิตาลี หนึ่งในเมืองที่ครองอันดับต้นๆ ของเมืองที่น่าอยู่มาโดยตลอด ด้วยเอกลักษณ์ของความสวยงามของเส้นทางเดินป่า และลานสกีมากมายที่รายล้อมด้วยเทือกเขาแอลป์อันสวยงาม ทั้งยังเป็นเมืองที่เป็นมิตรกับจักรยานและมีระบบขนส่งสาธารณะกระจายทั่วถึงทั้งเมือง
และยังตั้งเป้าหมายอันท้าทายในด้านสิ่งแวดล้อมไว้ว่าจะต้องลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนฯ ในเมืองให้เหลือเพียงครึ่งหนึ่งจากจำนวนเต็มของการปล่อยก๊าซคาร์บอนฯ ที่เคยวัดค่าได้จากปีก่อนหน้าภายในทศวรรษนี้ ทั้งยังส่งเสริมการใช้พลังงานหมุนเวียนให้มากขึ้น โดยได้รับแรงสนับสนุนจากภาครัฐอย่างเต็มที่
อันดับที่ 5 | Victoria, Canada – เมืองที่ต้อนรับนักธุรกิจมือใหม่และวัยเก๋า
ก้าวเท้าเข้าสู่เมืองวิกตอเรีย ประเทศแคนาดา เรียกว่าเป็นเมืองแห่งขุมทรัพย์ทางธรรมชาติก็ว่าได้ เพราะวิวทิวทัศน์โดยรอบล้อมด้วยมหาสมุทรแปซิฟิกทั้งสามด้าน อุทยานแห่งชาติ ป่าไม้ และเทือกเขาอันสูงตระหง่าน ชวนให้นักท่องเที่ยวต่างตั้งหมุดหมายว่ายังไงก็ต้องมาถึงที่นี่ให้ได้ ทั้งยังสร้างระบบขนส่งให้ประชาชนเข้าถึงง่ายด้วยบัตรโดยสารรถประจำทางฟรีสำหรับเด็ก รวมถึงเลนจักรยานและทางเท้าที่มีจำนวนมากขึ้น โดยยังเป็นศูนย์รวมการเดินทางของฝั่งอเมริกาเหนือที่สามารถเชื่อมโยงเมืองไปยังแวนคูเวอร์ ซีแอตเทิล รวมถึงหมู่เกาะโดยรอบได้อีกด้วย
และด้วยความสมบูรณ์ของเมือง วิกตอเรียจึงกลายเป็นเมืองที่ทางภาครัฐและเอกชนต่างพากันจับมือช่วยสนับสนุนเหล่าผู้ประกอบการทั้งใหม่และวัยเก๋าที่พยายามสร้างธุรกิจที่ขับเคลื่อนทั้งรายได้ และเติมชีวิตชีวาให้ผู้คนในเมือง ไปจนถึงนักท่องเที่ยวที่มาเยือน เพราะเป็นส่วนประกอบสำคัญที่ทำให้เมืองวิกตอเรียนั้นเต็มไปด้วยพลังงานสำหรับการใช้ชีวิต
อันดับที่ 4 | Lucerne, Switzerland – เมืองที่ตอบโจทย์การใช้พื้นที่สาธารณะ
หากพูดถึงประเทศสวิตเซอร์แลนด์ คงเป็นสถานที่ในฝันที่ต้องไปให้ได้สักครั้ง ซึ่งนอกจากเมืองลูเซิร์นที่ถูกจัดอันดับแล้ว ยังมีอีก 2 เมืองที่อยู่ในลิสต์นี้ด้วย นอกจากอากาศบริสุทธิ์และความสวยงามของธรรมชาติที่รังสรรค์มาอย่างเพียบพร้อมแล้ว สาธารณูปโภครอบด้านที่ดีต่อประชาชนในเมืองก็เป็นเรื่องสำคัญไม่แพ้กัน เช่นกันกับการจัดการพื้นที่สาธารณะให้กับประชาชนอย่างทั่วถึง
แม้ท่ามกลางย่านธุรกิจและสำนักงานใหญ่ที่คับคั่งไปด้วยผู้คน เมืองลูเซิร์นยังสามารถพลิกฟื้นพื้นที่รอบนอกให้กลายเป็นพื้นที่สาธารณะด้วยเป้าหมายที่ว่า ประชาชนต้องสามารถเข้าถึงพื้นที่สาธารณะได้อย่างเท่าเทียม และนี่จึงเป็นเหตุผลที่ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ยังมีเสน่ห์และยังมีชีวิตชีวามาจนถึงทุกวันนี้
อันดับที่ 3 | Itoshima, Japan – เมืองที่สนับสนุนเกษตรกรรุ่นใหม่
เข้าสู่อันดับที่ 3 ตัวแทนจากทวีปเอเชีย เมืองในฝันของเกษตรกรรุ่นใหม่และเจ้าของธุรกิจขนาดเล็กกำลังเฟื่องฟูที่นี่ อิโตชิมะ เมืองแห่งเกษตรกรรมที่ดีที่สุด ขึ้นชื่อเรื่องเนื้อหมู เนื้อวัว และเนื้อไก่ เกลือออร์แกนิก ที่ผ่านกระบวนการผลิตทางเกษตรแบบปลอดสารเคมีทุกชนิดที่จะเป็นอันตรายต่อคน สัตว์ และสิ่งแวดล้อม ซึ่งส่งจากมือเกษตรกรโดยตรง ที่สำคัญคือการทำเกษตรในเมืองนี้ยังได้รับการส่งเสริมจากทางรัฐบาลที่ส่งผู้เชี่ยวชาญมาให้คำปรึกษาและให้ข้อมูลอย่างใกล้ชิด
เพราะสำหรับที่นี่แล้ว วงการเกษตรกรยังเปิดกว้างต้อนรับเกษตรกรมือใหม่และเข้าใจเกษตรกรมือเก๋าเป็นอย่างดี และด้วยลักษณะของเมืองที่ทำการเกษตรเป็นส่วนใหญ่ทำให้บรรยากาศรอบข้างเหมือนเรากำลังหลุดเข้าไปในภาพยนตร์เรื่อง Little Forest เลยล่ะ
อันดับที่ 2 | Leuven, Belgium – เมืองแห่งความเท่าเทียม
รู้หรือไม่ ประเทศเบลเยียมมีส่วนผสมของประชากรมากถึง 171 สัญชาติ ซึ่งความหลากหลายของเชื้อชาตินั้นไม่ใช่ปัญหาอีกต่อไป เพราะเมืองเลอเฟินถือเป็นต้นแบบของความเท่าเทียมของประชาชนต่างสัญชาติ ที่นี่เปิดศูนย์ International House Leuven มีเป้าหมายเพื่อให้ชาวต่างชาติและครอบครัวได้รับการสนับสนุนด้านที่อยู่อาศัย โอกาสทางการศึกษาไปจนถึงการทำงาน
ทั้งยังมุ่งมั่นสร้างเมืองที่ยั่งยืน การันตีด้วยการได้รับรางวัลในปี 2020 กับโปรเจกต์สร้างทางเท้าและเลนสำหรับปั่นจักรยาน เพื่อกระตุ้นให้ผู้คนหันมาเดินเท้าและปั่นจักรยานโดยใช้เวลาเพียง 1 ปี จำนวนการเดินทางด้วยจักรยานเพิ่มขึ้น 32 เปอร์เซ็นต์ ทั้งยังช่วยลดมลพิษที่เกิดจากควันรถได้อีกด้วย
อันดับที่ 1 | Porto, Portugal – เมืองศูนย์กลางความคิดสร้างสรรค์
มาถึงผู้ชนะในการจัดอันดับเมืองที่น่าอยู่สำหรับปี 2020 ได้แก่เมืองปอร์โต ประเทศโปรตุเกส หนึ่งในเมืองศูนย์กลางเก่าแก่ของยุโรป ซึ่งได้ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกโดยยูเนสโกมาแล้วด้วย ส่งผลให้ปัจจุบัน บรรดาอาคารเก่า บ้านเรือน และร้านรวงต่างๆ กลายเป็นภาพจำที่บอกเล่าเรื่องราวของประวัติศาสตร์และสถาปัตยกรรมผ่านผลงานศิลปะ จากศิลปินและนักออกแบบทั้งในและนอกประเทศ ซึ่งศิลปินหลายคนได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลด้วย
นั่นจึงทำให้เมืองปอร์โตกลายเป็นศูนย์กลางความคิดสร้างสรรค์ที่หลายคนใฝ่ฝันถึง เพราะนอกจากความสวยงามและสถาปัตยกรรมอันเป็นเอกลักษณ์แล้ว การยอมรับและเปิดพื้นที่ให้แสดงความคิดสร้างสรรค์ได้อย่างอิสระ ยิ่งช่วยส่งเสริมให้เมืองนี้ทะยานขึ้นสู่อันดับ 1 ของเมืองที่น่าอยู่ประจำปี 2020 นั่นเอง
Source : monocle.com