เมื่อไม่นานมานี้เพิ่งได้มีโอกาสเห็นตัวอย่างหนังเรื่องใหม่ของพ่อหนุ่มดาวอังคาร อย่าง Matt Demon แต่คราวนี้เขาไม่ได้ไปดาวอังคารแต่อย่างใด อย่างกลับกลายเป็น พ่อหนุ่มตัวจิ๋ว แห่งโลกอนาคต ตามท้องเรื่องหนังแนววิทยาศาสตร์ที่เริ่มต้นด้วยการโปรยประเด็นเอาไว้เป็นโจทย์ของหนังว่าจะเป็นอย่างไร ในโลกอนาคตที่ประชากรล้นโลก ในภาพยนตร์เรื่อง Downsizing เมื่อคนมันล้น ก็ย่อส่วนมันซะเลย พอเห็นแล้วก็รู้สึกว่า อืม น่าสนใจ
เรื่องการย่อส่วนมนุษย์ในหนังไม่ใช่เรื่องใหม่อะไร อย่างเช่น Inner Space ในปี 1987, Ant man, Honey! I shrunk the kids หรือแม้แต่ โดราเอมอน ก็มีไฟฉายย่อส่วนเช่นกัน ดังนั้นความน่าสนใจไม่ได้อยู่ที่การขยายหรือย่อส่วนมนุษย์ แต่สิ่งหนึ่งที่ทำให้รู้สึกสะดุดใจ และเกิดความสนใจขึ้นมา คือ ที่มาของปัญหาซึ่งไปพ้องกับภาพยนตร์ฟอร์มไม่ได้ยักษ์ใหญ่อะไรเรื่องหนึ่ง แต่ก็เรียกความสนใจได้ไม่น้อยในช่วงไม่กี่เดือนมานี้
ใช่ เรากำลังพูดถึง What happened to Monday แม้ว่าหนังจะไม่ได้เป็นที่ประทับใจอะไรมากนัก แต่ก็เรียกความบันเทิงจากกลุ่มคนดูบางส่วนได้ไม่น้อย แต่ที่ต้องยอมรับอย่างหนึ่ง คือ พล็อตของหนังน่าสนใจดี โดยการหยิบยกเอาประเด็นแห่งโลกอนาคตที่มีประชากรล้นโลกจนรัฐบาลต้องออกนโยบายให้มีลูกได้เพียงครอบครัวละหนึ่งคนเท่านั้น แต่เมื่อครอบครัวหนึ่งได้ให้กำเนิดเด็กแฝดหญิงถึง 7 คน การซ่อนสาวทั้ง 7 ภายใต้ชื่อวันจันทร์ถึงอาทิตย์ จึงน่าสนใจขึ้น เมื่อทุกคนได้รับอนุญาตให้ออกจากบ้านได้ในวันตามชื่อที่ตัวเองเกิด และเรื่องก็เกิดเมื่อ อีจันทร์ (ไม่ใช่ชื่อเพจดังแต่อย่างใด) หรือ Monday หนึ่งใน 7 สาวแฝดได้หายไป และอะไรจะเกิดขึ้นกับจันทร์ ก็เป็นที่มาของชื่อเรื่องที่ชวนให้ติดตามลุ้นกันไป ใครที่ยังไม่ได้ดู ก็ขอให้ดูเอามัน ถ้าดูเอาบันเทิงก็นับว่าเพลิดเพลินดี
แต่มันมีอะไรที่แฝงเอาไว้ในหนังสองเรื่องนี้ นั่นคือประเด็นที่น่าขบคิดว่า “ฤาประชากรจะล้นโลกจริง?” ประเด็นนี้ถูกนำมาสร้างเป็นบทภาพยนตร์มาก็ไม่น้อย แต่เริ่มพบเห็นได้บ่อยขึ้นทุกวันๆ เมื่อทรัพยากรมนุษย์เริ่มไม่สัมพันธ์กับทรัพยากรธรรมชาติต่างๆบนผืนโลก ที่มาของปัญหา ความยากจน ความขาดแคลน การแก่งแย่งชิงดี จนนำไปสู่สงครามจึงเกิดขึ้น
อาหารไม่พอ น้ำไม่พอ แร่ธาตุไม่พอ น้ำมันจะหมดโลก ความแออัดขอที่อยู่อาศัย สิ่งต่างๆเหล่านี้ที่เป็นผลพวงจากประชากรโลกที่เพิ่มมากขึ้นๆทุกปี ดังในรายงานของ UN ที่ว่าในปี 2100 ประชากรจะล้นโลก เนื่องจากจะมีการเพิ่มจำนวนของประชากรโลกเป็นเท่าตัวจาก 7 พันล้านคน เป็น 1 หมื่น 5 พันล้านคนในปี 2100 อันเนื่องมาจากอัตราการเกิดที่สูงขึ้นและอัตราการตายที่ลดลงเพราะการเข้าถึงของยารักษาโรคและการช่วยเหลือและให้ความรู้ด้านการแพทย์ที่ก้าวหน้าขึ้นทำให้มีอัตราการตายลดลง ไอ้ประเด็นนี้ก็เคยเอามาสร้างหนังอยู่หลายเรื่อง คนเยอะนักใช่ไหม โลกไม่น่าอยู่อีกต่อไป ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์แล้วสร้างจักรวรรดิใหม่มันเองซะเลย อย่างเช่น Kingsman The Secret Service หรือ Kingsman ภาคแรก ที่อยู่ดีๆ ตัวร้ายก็บอกว่าโลกนี้มีแต่ความเสื่อมทราม คนล้นโลก ก็เลยหวังใช้คลื่นโทรศัพท์มือถือส่งสัญญาณไปสั่งการคลื่นสมองให้มนุษย์ทำลายล้างกันให้หมดหรือฆ่ากันให้ตายห่าไปให้หมดนั่นเอง ส่วนคนที่ถูกเลือก คือพวกชนชั้นสูง หรือคนรวยต่างๆ ที่เห็นด้วยและได้รับเลือกกับโครงการนี้ก็จะได้รับการฝังชิปเอาไว้ไม่ให้ฆ่าแกงกันเหมือนคนอื่นๆ และจะอยู่รอดเพื่อที่จะเป็นผู้รอดที่จะสร้างมวลมนุษยชาติในยุคใหม่ต่อไป
ประเด็นแบบนี้ถ้ามองข้ามและเลือกที่จะเสพเพื่อความบันเทิงก็คงไม่มีอะไรน่าวิตก แต่หากพิจารณากันให้ดี เราสามารถจัดการกับปัญหานี้ยังไงในบ้าง คุมกำเนิดดีไหม? หรือในบางศาสนาอาจจะว่าผิดเป็นบาปที่ไม่ยอมให้คนเกิดมา งั้นลดการใช้ทรัพยากรดีไหม? ใช้เท่าที่จำเป็น หรือพยายามหา หรือใช้แหล่งทรัพยากรทดแทน ถามว่าแนวทางแก้ปัญหาเหล่านี้มีเหรอที่รัฐบาลแต่ละประเทศจะคิดไม่ออกหรือไม่ให้การสนับสนุน นโยบายลูกคนเดียวแบบในหนังพี่จีนเขาก็ทำมาแล้ว รณรงค์ประหยัดพลังงานไฟฟ้าโดยให้ปิดโทรทัศน์เป็นเวลาบ้านเราก็ยังเคยทำ การรณรงค์ Carpool ทางเดียวกันไปด้วยกัน เขาก็มีอยู่ ขนิดที่บางห้างสรรพสินค้ามีที่จอดรถพิเศษให้สำหรับ Carpool เลยด้วยซ้ำ คือถ้ามากัน 4 คนต่อรถ 1 คัน ได้สิทธิ์จอดรถในที่จอดพิเศษที่สำรองไว้ให้ แบบที่จอดรถสำหรับคนพิการ หรือสตรี เลยทีเดียว การหาทรัพยากรพลังงานทดแทนการใช้น้ำมัน การใช้ถ่านหิน ด้วยพลังงานแสงอาทิตย์บ้าง พลังงานลมบ้าง ก็ยังทดลองและพัฒนากันอยู่อย่างต่อเนื่อง
แต่มันไม่ใช่แค่เรื่องของรัฐบาลหรือหน่วยงานระดับชาติ หรือระดับโลกอย่างเดียว
เราเองในฐานะมนุษย์ตัวเล็กๆคนนึงจะทำอะไรได้บ้าง ลองมองดูรอบๆตัว ก่อนที่จะกลายเป็นมนุษย์ตัวเล็กๆที่ถูกย่อส่วนแบบพี่ Matt Demon อย่างใน Downsizing ก็คงจะดีกว่าเป็นแน่